วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

แนวคิดและวิธีการสอนภาษาอังกฤษ


    แนวคิดและวิธีการสอนภาษาอังกฤษ



แนวคิดและวิธีสอนภาษาอังกฤษที่มีอิทธิพลต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (ESL) และภาษาต่างประเทศ (EFL) มีดังนี้
        1. การสอนแบบไวยากรณ์และแปล (grammar-translation method)
        2. วิธีสอนแบบตรง (direct method)
        3. วิธีสอนแบบฟัง-พูด (audio-lingual method)
        4. การสอนตามแนวทฤษฎีการเรียนแบบความรู้ความเข้าใจ (cognitive code-learning)
        5. การสอนตามแนวธรรมชาติ (natural approach)
        6. การสอนแบบเงียบ (silent way)
        7. การสอนแบบชักชวน (suggestopedia)
        8. การสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (total physical response method)
        9. การสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (community language learning)
        10. การสอนตามแนวสื่อสาร (communicative language teaching)


แนวโน้มการเรียนภาษาอังกฤษในอนาคต

        1. การสอนตามแนว cognitive-constructivist approach to language learning)
        2. การเรียนตามแนวบูรณาการเนื้อหาและภาษา (content and language integrated learning)
        3. การเรียนแบบร่วมมือ (cooperative learning)
        4. การบูรณาการภาษากับวัฒนธรรม (integration of culture in language learning)
        5. การบูรณาการวรรณคดีกับการเรียนภาษา (integration of literature in language learning







แนวคิดและวิธีสอนภาษาที่มีอิทธิพลต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ในประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคต การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร communicative language teaching (CLT)


การสอนตามแนวสื่อสารคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร

          การสอนตามแนวสื่อสารได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรก ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงปี 1970 การสอนตามแนวสื่อสารเกิดขึ้นในยุโรป เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้อพยพเข้าไปอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก สมาพันธ์ยุโรป (Council of Europe) จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาที่สองแบบเน้นหน้าที่และสื่อความหมาย (functional national syllabus design) เพื่อช่วยให้ผู้อพยพสามารถใช้ภาษาที่สองในการสื่อสาร ในส่วนของอเมริกาเหนือไฮมส์ (Hymes) ได้ใช้คำว่า ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (communicative competence) หมายถึงความสามารถในการปฎิสัมพันธ์ หรือปะทะสังสรรค์ทางด้านสังคม (social interaction) ซึ่งความสามารถทางด้านภาษาที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถที่จะพูด หรือเข้าใจคำพูดที่อาจไม่ถูกหลักไวยากรณ์ แต่มีความหมายเหมาะสมกับสภาพการณ์ที่คำพูดนั้นถูกนำมาใช้ (Savignon, 1991)

          การสอนภาษาแบบสื่อสาร (Communicative Language Teaching - CLT) คือแนวคิดซึ่งเชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษา (linguistic knowledge) ทักษะทางภาษา (language skill) และความสามารถในการสื่อสาร (communicative ability) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อสาร (Canale & Swain, 1980 ; Widdowson, 1978). คเนล และสเวน (1980) และเซวิกนอน (Savignon, 1982) ได้แยกองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสารไว้ 4 องค์ประกอบ ดังนี้

          1. ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (grammatical competence) หมายถึงความรู้ทางด้านภาษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ โครงสร้างของคำ ประโยค ตลอดจนการสะกดและการออกเสียง

          2. ความสามารถด้านสังคม (sociolinguistic competence) หมายถึงการใช้คำ และโครงสร้างประโยคได้เหมาะสมตามบริบทของสังคม เช่น การขอโทษ การขอบคุณ การถามทิศทางและข้อมูลต่าง ๆ และการใช้ประโยคคำสั่ง เป็นต้น

          3. ความสามารถในการใช้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อความหมายด้านการพูด และเขียน (discourse competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา (grammatical form) กับความหมาย (meaning) ในการพูดและเขียนตามรูปแบบ และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

          4. ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (strategic competence) หมายถึงการใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความสำเร็จโดยเฉพาะการสื่อสารด้านการพูด ถ้าผู้พูดมีกลวิธีในการที่จะไม่ทำให้การสนทนานั้นนั้นหยุดลงกลางคัน เช่นการใช้ภาษาท่าทาง (body language) การขยายความโดยใช้คำศัพท์อื่นแทนคำที่ผู้พูดนึกไม่ออก เป็นต้น

          จะเห็นได้ว่า CLT ไม่ได้ละเลยโครงสร้างทางไวยากรณ์ แต่ในการสอนโครงสร้างทางไวยากรณ์ต้องเน้นการนำหลักไวยากรณ์เหล่านี้ไปใช้ เพื่อการสื่อความหมายหรือการสื่อสารคเนล และสเวน (Canale & Swain, 1980) อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของกฎเกณฑ์และโครงสร้างทางภาษา ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์ และโครงสร้างแล้วความสามารถทางการสื่อสารของผู้เรียนจะถูกจำกัด ดังนั้น ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (fluency) และความถูกต้องในการใช้ภาษา (accuracy) จึงมีความสำคัญเท่ากัน







บทบาทของผู้เรียน (learner roles)



           บรีนและแคนดริน (อ้างใน Richards & Rodgers, 1995) อธิบายบทบาทของผู้เรียนตามแนว CLT ผู้เรียนคือผู้ปรึกษา (negotiator) การเรียนรู้เกิดจากการปรึกษาหารือในกลุ่มผู้เรียน โดยผู้สอนจัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ จุดมุ่งหมายหลักในการทำกิจกรรมกลุ่มคือมุ่งให้ผู้เรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รู้จักการให้พอ ๆ กับการรับ
บทบาทของครู (teacher roles)



           ครูมีบทบาทที่สำคัญ 3 บทบาท คือผู้ดำเนินการ (organizer, facilitator)เตรียมและดำเนินการจัดกิจกรรม ผู้แนะนำหรือแนะแนว (guide) ขั้นตอนและกิจกรรมต่าง ๆ และเป็นผู้วิจัยและผู้เรียน (researcher, learner) เรียนรู้พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนแต่ละคน นอกจากนั้นครูอาจมีบทบาทอื่น ๆ เช่น ผู้ให้คำปรึกษา(counselor) ผู้จัดการกระบวนการกลุ่ม (group process manager) ครูตามแนวการสอนแบบCLT เป็นครูที่เป็นศูนย์กลางน้อยที่สุด (less teacher centered) นั่นคือครูมีหน้าที่ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อการสื่อสารและในช่วงที่นักเรียนทำกิจกรรมครูจะกระตุ้นให้กำลังใจช่วยเหลือให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารให้ได้ความหมายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อันเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างความสามารถทางไวยากรณ์ (grammar competence) และความสามารถทางด้านสื่อสาร (communicative competence) ของผู้เรียน
บทบาทของสื่อการเรียนการสอน (the role of instructional materials)



การสอนตามแนว CLT จำเป็นที่ต้องใช้สื่อที่หลากหลาย เพราะสื่อมีความสำคัญต่อการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์หรือการเรียนแบบร่วมมือและการฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สื่อที่สำคัญ 3 อย่างที่ใช้สำหรับการสอนตามแนว CLT ได้แก่ เนื้อหา (text-based) งาน/กิจกรรม (task-based) ของจริง(realia)

        - เนื้อหา (text-based material) ในปัจจุบันมีตำราเรียนจำนวนมากมายที่สอดคล้องกับการเรียน/สอนตามแนว CLT ซึ่งการออกแบบตำราเรียนกิจกรรมและเนื้อหาแตกต่างจากตำราที่แต่งขึ้นมาเพื่อสอนไวยากรณ์ ยกตัวอย่าง แบบเรียน CLT จะไม่มีแบบฝึกหัด (drill) หรือโครงสร้างประโยคส่วนมากแบบเรียนที่เน้น CLT จะประกอบไปด้วยข้อมูลในรูปต่าง ๆ เช่น การจัดสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมุติหรือกิจกรรมคู่ หรืออาจกำหนดเรื่อง (theme) ที่จะเรียนแล้วมีกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ

         - งาน/กิจกรรม (task-based material) เกมส์ต่าง ๆ บทบาทสมมุติ การเลียนแบบ และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น กิจกรรมการสอบถามแลกเปลี่ยนข้อมูล (gap conversation) กิจกรรม Jigsaw ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน

         - สื่อที่เป็นของจริง (realia) CLT เน้นการใช้สื่อที่เป็นของจริง (authentic material) เช่น ป้ายประกาศโฆษณา หนังสือพิมพ์รูปภาพ แผนที่ เป็นต้น



ที่มา http://47101010443.multiply.com/journal/item/15?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem

เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ


เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษ 10 แบบ





          ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการ และมีทฤษฎีการสอนหลากหลายวิธี ที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมนำไป ดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคน ดังวิธีสอนต่อไปนี้

         1.วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล ( Grammar Transalation ) เป็นวิธีการสอนที่เน้นกฎไวยากรณ์และใช้การแปลเป็นสื่อให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน

ลักษณะเด่น

           1.1ครูจะบอกและอธิบายกฎเกณฑ์ตลอดจนข้อยกเว้นต่างๆ

           1.2ในด้านคำศัพท์ ครูจะสอนครั้งละหลายคำ บอกคำแปลภาษาไทย บางครั้งเขียนคำอ่านไว้ด้วย

           1.3ครูเน้นทักษะการอ่าน และการเขียน

           1.4ครูเน้นวัดผลด้านความรู้ ความจำ คำศัพท์ กฎเกณฑ์ ความสามารถในการแปล

           1.5ครูมีบทบาทสำคัญมากที่สุด

           1.6นักเรียนเป็นผู้รับฟัง และจดสิ่งที่ครูบอกลงในสมุด

           1.7นักเรียนจะต้องท่องจำกฎเกณฑ์ตลอดจนชื่อเฉพาะต่างๆ ทางไวยากรณ์นั้นๆ

           1.8นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ไวยากรณ์นั้นๆ

           1.9นักเรียนได้ฝึกนำศัพท์มาใช้ในรูปประโยค

          2.วิธีสอนแบบตรง เป็นวิธีการสอนที่เน้นทักษะการฟัง และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียน โดยมีความเชื่อว่า เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็จะสามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น ไม่เน้นไวยากรณ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการสนทนา นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่

ลักษณะเด่น

           2.1ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนพูดโต้ตอบ

           2.2ครูสร้างสภาพแวดล้อมหรือใช้สื่อที่เอื้อต่อการเรียนการสอน

           2.3อธิบายคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ และใช้ตัวอย่างประกอบเป็นของจริง

           2.4การวัดผลเน้นทักษะการฟัง และพูด เช่น การเขียนตามคำบอก การปฏิบัติตามคำสั่ง

           3.วิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method ) เป็นวิธีการสอนตามหลัก ภาษาศาสตร์ และวิธีการสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน สอนครบองค์ประกอบตามลำดับจากง่ายไปหายาก

ลักษณะเด่น

          3.1ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนในการเลียนแบบ

          3.2ครูจะจัดนำคำศัพท์และประโยคมาสร้างเป็นรูปประโยคให้นักเรียนพูดซ้ำๆกัน ในรูปแบบที่

แตกต่างกัน

         3.3ครูมุ่งเรื่องการฝึกรูปประโยคทางภาษาในห้องเรียนมากกว่าประโยชน์การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน

          3.4นักเรียนจะต้องฝึกภาษาที่เรียนซ้ำๆ

          3.5นักเรียนเป็นผู้ลอกเลียนแบบ และปฏิบัติตามครูจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากจนเกิดเป็นนิสัย

สามารถพูดได้อย่างอัตโนมัติ

          4.วิธีการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบความรู้ความเข้าใจ ( Cognitive Code Learning Theory ) วิธีการสอนแบบนี้ยึดแนวคิดที่ว่า ภาษาเป็นระบบที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ความเข้าใจ และการแสดงออก ทางภาษาขึ้นอยู่กับความเข้าใจ กฎเกณฑ์ เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในรูปแบบของภาษาและความหมายแล้ว ก็จะสามารถใช้ภาษาได้

ลักษะเด่น

         4.1ครูมุ่งฝึกทักษะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสอน โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฟังและพูดให้ดีก่อน แล้วจึงอ่านและเขียนตามวิธีสอนแบบฟัง-พูด ( Audio-Lingual Method )

         4.2ครูสอนเนื้อหาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างของนักเรียน ที่มีความสามารถในทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ที่แตกต่างกัน

          4.3สนับสนุนให้ผุ้เรียนใช้ความคิด สติปัญญา และมีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ

          4.4ใช้ภาษาไทยในการช่วยอธิบาย แต่อธิบายเฉพาะในเรื่องการฟังและพูด

          4.5การวัดและประเมินผลในด้านภาษาของนักเรียนนั้น คือ ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาแต่ละขั้นตอน

           5.วิธีการสอนตามเอกัตภาพ ( Individualized Instruction ) ในรูปแบบนี้ ผู้เรียนเริ่มมีบทบาทจากการเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียวมาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ในการเรียนการสอนมากขึ้นเป็นลำดับ

ลักษณะเด่น

           5.1การสอนเปลี่ยนจากครูเป็นหลัก กลายเป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

           5.2ครูพยายามให้นักเรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล

ให้ได้มากที่สุด

           5.3ครูจะเตรียมสื่อ เอกสาร บทเรียน โปรแกรม ชุดการเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนและแนวคำตอบไว้ให้ เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง

          6. วิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง ( Total Physical Response Method ) แนวการสอนแบบนี้ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี

ลักษณะเด่น

          6.1ในระยะแรกของการเรียนการสอน ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นเพียงผู้ฟังและทำตามครู

          6.2ครูเป็นผู้กำกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งหมด ครูจะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง จนถึงระยะเวลาที่

นักเรียนสามารถพูดได้แล้ว จึงเรียนอ่านและเขียนต่อไป

          6.3ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์และคำศัพท์

มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคำสั่ง

          6.4นักเรียนจะข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนจากการแสดงท่าทางของครู

          6.5ครูทราบได้ทันทีว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ จากการสังเกตการปฏิบัติตามคำสั่งของนักเรียน

         7. วิธีการสอนแบบอภิปราย ( Discussion Method ) เป็นวิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม รวมพลังความคิดเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหา หาข้อเท็จจริง

ลักษณะเด่น

         7.1ฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นกล้าพูด อย่างมีเหตุผล ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย และอดทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

         7.2ครูสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนทำงานว่า สมมตินักเรียนจะเข้าค่ายพักแรมเป็นเวลา

5 วัน นักเรียนจะต้องเตรียมเครื่องใช้อะไรไปบ้าง ช่วยกันอภิปรายและสรุปผลออกมาเป็นรายงานส่งครู

เป็นต้น    

         8. วิธีการสอนแบบโครงการ ( Project Method ) เป็นวิธีที่สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจ หรือตามที่ครูมอบหมายให้ทำ

ลักษณะเด่น

         8.1 นักเรียนจะดำเนินการอย่างอิสระ และมีอิสระในการใช้ภาษาอย่างเต็มที่

         8.2ครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะช่วยเหลือและติดตามผลงานของนักเรียนว่าดำเนินการ ความก้าว

หน้า อุปสรรคการประเมินผลงานใดบ้าง

         9. วิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ ( Community Language Learning )

ลักษณะเด่น

        9.1ยึดผู้เรียนเป็นหลัก นักเรียนแต่ละคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรม

        9.2เน้นการพัฒนาความสัพพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกัน ทำให้ผู้เรียน

เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม

       9.3ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษาเท่านั้น ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

       9.4เน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สิ่งที่นำมาเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การฝึกให้

ผู้เรียนใช้โครงสร้างประโยค คำศัพท์และเสียง ตามวิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์

       9.5การประเมินผลการเรียนนั้นจะเป็นการทดสอบแบบบูรณาการ โดยให้นักเรียนประเมินตนเองดูจากการเรียนรู้ของตนเอง และความก้าวหน้าของตน

       10. วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ( Communicative Approach ) จากข้อเท็จจริงพบว่าถึงแม้นักเรียน จะเรียนรู้โครงสร้างของภาษามาแล้วเป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารได้ดีนัก ด้วยเหตุผลนี้ นักภาษาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ได้เสนอแนวการสอนแบบใหม่ คือ การสอนเพื่อการสื่อสาร โดยมีความเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบไวยากรณ์ที่ประกอบด้วยเสียง ศัพท์ และโครงสร้างเท่านั้น แต่ภาษาคือ ระบบที่ใช้ในการสื่อสาร

            ดังนั้นการสอน จึงควรให้นักเรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้ และจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมตามสภาพสังคมด้วย


ที่มา http://www.learners.in.th/blogs/posts/283159

แผนยุทธศาสตร์ปรับปรุง การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ



สรุปผลการจัดงาน
มหกรรมวิชาการภาษาอังกฤษ






                   งานมหกรรมวิชาการภาษาอังกฤษ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๘                   ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี นั้น สรุปได้ว่า ระหว่าง                   การดำเนินงาน ๒ วัน ได้มีการ จัดการประชุมปฏิบัติการ ๓๔ ข้อ โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรหลักทั้งห้า พร้อมหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ๑๒  แห่ง มีการแสดงนิทรรศการ               จาก ๑๒๘ หน่วยงาน มีการนำเสนอการแสดงจากโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน ๕๕ แห่ง และ     การประกวดแข่งขัน ๗ รายการ ประมาณการว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ คน
การจัดงานดังกล่าวประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ
            - การจุดประกายความสนใจในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และการยืนยันในการแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้เดินทางมารับฟังข้อเสนอของเยาวชน และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ให้เวลาเยี่ยมชมนิทรรศการ ตลอดจนการเข้าร่วมรับฟังการประชุมปฏิบัติการอย่างทั่วถึงและองค์กรหลักได้ร่วมกันจัดอย่างจริงจัง
          นอกจากนี้ การเดินทางมาร่วมงานของครูเป็นจำนวนมากจากทุกพื้นที่ รวมทั้งพื้นที่ที่น้ำท่วมหนัก รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสนใจอย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของครูที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาต่อไป
-  การนำเสนอแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบ Communicative Approach และผลงานของโรงเรียน ชมรมครู ศูนย์ ERIC ครู และนักเรียนที่เป็น Best practices              สามารถขยายผลหรือพัฒนาให้ไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ประเด็นที่โดดเด่น และได้รับการกล่าวขวัญพอสมควร คือ ความพยายามและผลสำเร็จที่ดีเด่นเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนธรรมดาที่มีขนาดกลาง ขนาดเล็ก และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
            การนำเสนอให้เห็นถึงศักยภาพของนักเรียนกลุ่มต่างๆ และผลที่เกิด            จากการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ เกิดจากการจัดเวทีให้ได้แสดงความสามารถ และ            การประกวดแข่งขันต่างๆ
          -  การเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู  ระหว่างการศึกษาระดับต่างๆ ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน ระหว่างภาครัฐ เอกชน และระหว่างสังกัดต่างๆ
            -  การประเมินสถานภาพการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ได้เห็นว่าประเด็นใดที่มีการดำเนินการจนมีแบบอย่างที่ขยายผลได้ ประเด็นใดที่ยังเป็นจุดอ่อนต้องได้รับ            การดูแลเป็นพิเศษ
ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างมีความพึงพอใจในการจัดงานมหกรรม และเสนอแนะ          ให้จัดเป็นประจำทุกปี โดยอาจจัดร่วมกับงานประจำปีของสมาคมครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ทั้งยังเสนอให้ขยายระยะเวลาให้นานขึ้น เพื่อให้ครูได้รับประโยชน์จากการประชุมปฏิบัติการ และให้จัด             ในส่วนภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับดำริของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่ว่า ควรมีการ  จัดงานมหกรรมวิชาการสัญจรของกระทรวงศึกษาธิการ
เนื่องจากในขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังเสนอแผนยุทธศาสตร์ยกระดับ                การใช้ภาษาอังกฤษของประชากรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ             ต่อ ค.ร.ม. ดังนั้น เพื่อให้เชื่อมโยงไปสู่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ และผลที่เกิดขึ้นนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของครูอย่างจริงจัง จึงมีข้อเสนอแนะในการดำเนินการต่อเนื่องดังนี้
การผลักดันการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ การเตรียมการและการปรับแผน                      ของแต่ละองค์กรหลัก เพื่อให้สามารถดำเนินการตามยุทธศาสตร์ได้ในปี ๒๕๔๙
๒.  การเผยแพร่ตัวอย่างจากงานมหกรรมให้กว้างขวาง ซึ่งจะได้จัดทำ           สารคดีเผยแพร่ทางโทรทัศน์ภายในสัปดาห์นี้ และจัดทำ DVD เผยแพร่ไปยังสถานศึกษาต่างๆ
๓.  การพัฒนาต่อยอดโรงเรียน และครู ที่มีผลงานดีเด่นและเป็นแบบอย่าง           ให้สามารถเป็นแกนในการขยายผล อย่างน้อยอำเภอละ ๑ โรง ในปีการศึกษา ๒๕๔๙ โดยอาจศึกษารูปแบบที่ได้ผล เช่น รูปแบบการสอนสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ หรือ            รูปแบบ Mini - English ที่นักเรียนมีโอกาสเรียนภาษาเข้มข้นมากขึ้น อาจอาศัยโรงเรียนในฝัน                        ที่ได้รับการลงทุนอยู่แล้วเป็นแกน ตลอดจนการพัฒนาศึกษานิเทศก์ หรือสถาบันที่จะเป็นพี่เลี้ยง              ที่จะประกบครู ดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและการปรับเปลี่ยน         กระบวนทัศน์
๔. การนำข้อมูลที่ได้รับจากการจัดมหกรรมไปปรับปรุงหลักสูตร                 สื่อ การอบรม และการพัฒนาครูต่อไป ยกตัวอย่างเช่น
- เนื้อหาทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิ ควรได้รับการศึกษาและนำไปปรับปรุงหลักสูตรและสื่อ เช่น ระดับ Proficiency ที่สถาบัน TOEIC นำเสนอ จะเป็นประโยชน์ในการปรับหลักสูตร และประเมินสมรรถนะครูผู้สอน
- แนวทางส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนด้วยการเคลื่อนไหว Total Physical Response (TPR) ที่ได้รับความสนใจมาก การใช้เพลงซึ่งแพร่แล้ว แต่ครูยังมีปัญหาเรื่องการหาเพลงที่เหมาะสม การใช้ละครเป็นสื่อซึ่งแพร่หลายเช่นกัน แต่บทยังไม่เหมาะสมกับวัย การเล่านิทาน  การเล่าเรื่องตลก เทคนิคเหล่านี้เริ่มแพร่หลาย แต่ต้องการความสนับสนุนเพื่อให้ดียิ่งขึ้น
-  เทคนิคหลายอย่างที่นำเสนอในการประชุมปฏิบัติการ ควรได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางและลุ่มลึกยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาแนวทางการสอน Academic English ที่ไม่เน้นไวยากรณ์และมีลักษณะ Communicative เทคนิคการอ่าน การฟัง การเรียนรู้คำศัพท์                โดยไม่ต้องท่อง การสนับสนุนผู้ปกครองให้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของลูก เป็นต้น
-  จุดอ่อนของครูที่ควรได้รับการดูแล ได้แก่ การไม่กล้าสื่อสาร เป็นภาษาอังกฤษโดยเฉพาะในที่ประชุมใหญ่ และการใช้ ICT ในการประกอบการเรียนการสอน
๕.  การจัดทำระบบจัดการความรู้เพื่อให้ทราบว่าตัวอย่างที่ดีอยู่ที่ใด และ          การส่งเสริมเครือข่ายในการเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษาต่างสังกัด และต่างระดับ ในรูปของชมรม โรงเรียนพี่โรงเรียนน้อง เพื่อเสริมเครือข่ายของศูนย์ ERIC
๖.  การจัดเวที เพื่อให้นักเรียนได้แสดงความสามารถอย่างต่อเนื่อง              โดยไม่จำกัดสังกัด การส่งเสริมกิจกรรมนอกชั้นเรียนที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมประสบการณ์             ของนักเรียน เช่น การจัดแคมป์ การแสดงละคร การจัดตั้งวงขับร้องประสานเสียง หรือชมรมมัคคุเทศก์น้อย ตลอดจนการสนับสนุนให้นักเรียนที่มีความเป็นเลิศได้ทุนเรียนในโรงเรียนสองภาษา หรือไปต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีรับประทานอาหารกับนักเรียน                   ท่านได้ฝากให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนให้นักเรียนพิการได้มีคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียน         การสอนภาษา และให้ดูแลเรื่องการจ้างครูจากอินเดียที่มีคุณภาพด้วย.



*~*~*~*~*~*~*~*~*~*

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวกับ อาเซียน


ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวกับ อาเซียน




ท่านสามารถเปิดดูงานวิจัยฉบับเต็มและคัดลอกส่วนที่ท่านต้องการได้ โดยใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Reader การโหลดและการติดตั้งโปรแกรม Adobe Acrobat Reader
http://www.prapasara.co.uk/Adobe%20Acrobat%20Reader.html

ประเทศไทยกับอาเซียน [electronic resources] / สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ กรมประชาสัมพันธ์.

การศึกษาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศในกลุ่มอาเซียน (The study of culture symbols in Asean countries) ระดับ ปริญญาโท

วิเคราะห์แนวคิดและคุณค่าในกวีนิพนธ์ไทยที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) (The analysis of themes and values in Thai S.E.A write award-winning poetic works) ระดับ ปริญญาโท

การจัดตั้งและการดำเนินงานของหอภาพยนตร์แห่งชาติในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติอาเซียน / ญาณะ วีระประจักษ์.

การบรรยายทางวิชาการเพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน [electronic resources] / สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.

การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้โดยสารคนไทยที่มีต่อส่วนผสมทางด้านการตลาดอุตสาหกรรมการบินของสายการบินอาเซียน่าและสายการบินไทย / ทิพวรรณ เลิศวิทย์วรเทพ.

การศึกษาของอาเซียน / เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์, พนัส หันนาคินทร์, บันลือ ถิ่นพังงา.

ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการกระโดดกับประสิทธิภาพในการตบวอลเลย์บอลของนักกีฬาหญิงระดับนักเรียนอาเซียน พ.ศ. 2535 / วีระ กัจฉปคีรินทร์.

แรงจูงใจในการเลือกเล่นกีฬาของนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4 / วิรัตน์ อามานนท์.

จดหมายข่าวสมาคมอาเซียน-ประเทศไทย = A.A.T. Newsletter.


มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


1Modeling indexes of stock market volatility for Asean, Europe, and the USA = การจำลองแบบดัชนีของความผันผวนตลาดหุ้นสำหรับ อาเซียน ยุโรป และ สหรัฐอเมริกา / Kunsuda Nimanussornkul / 2009 /Full Text
2การเปรียบเทียบผลกระทบความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศอาเซียน = A Comparison of impacts of exchange rate volatility on Thai Exports to ASEAN Countries / นงค์รัตน์ สมภารจันทร์ / 2553 /Full Text
3การวิเคราะห์ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบการส่งออกสินค้าที่สำคัญของไทยไปในกลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม = An Analysis of revealed comparative advantage of Major Exports of Thailand to ASEAN Plus Three / จิราวรรณ โกช่วย / 2552 /Full Text
4การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีราคาหลักทรัพย์และมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มอาเซียน โดยวิธี พาแนล โคอินทิเกรชัน = Analysis of the relationship between the stock price indices and the turnovers in ASEAN stock markets by the p / ปริชญาภรณ์ ด้วงบุญมา / 2553 /Full Text
5การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยในรูปตัวเงินกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน = An analysis of relationship between nominal interest rate and inflation rate of ASEAN Countries / กรรณิการ์ ดวงเนตร / 2553 /Full Text
6การส่งผ่านความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยจากประเทศสหรัฐอเมริกามายังดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศอาเซียนในช่วงวิกฤตซับไพร์ม = Interest rate volatility transmission from the U.S. to interest rate volatility of ASEAN countries during sub-prime crisis period ลัคเบญ / ลัคเบญจา จิรวุฒิวงศ์ชัย / 2552 /Full Text
7ความฉลาดทางอารมณ์ของตัวละครในนวนิยายที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) = Emotional quotient of the characters in Sea-Write Novels วันจุฬา ศรลัมพ์ / วันจุฬา ศรลัมพ์ / 2550 /Full Text
8ความร่วมมือทางการเมืองของอาเซียนในยุคระหว่างและหลังสงครามเย็น / ธรรมรงค์ สิงห์อยู่เจริญ / 2541 /Full Text
9ทัศนะของทหารต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนของพม่า / อุกฤษณ์ อากาศวิภาต / 2544 /Full Text
10ทัศนะของทหารต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนของเวียตนาม / เชิดชัย จันทร์เทศ / 2538 /Full Text
11บทบาทของรัฐบาลชวน หลีกภัย ด้านสิทธิมนุษยชนในอาเซียน : กรณีพม่า / อุษามาศ เสียมภักดี / 2546 /Full Text
12บทบาทของอาเซียนกับการดำเนินงานทางการเมืองและความมั่นคงในยุคหลังสงครามเย็น / ปฏิพัทธ์ สวัสดี / 2546 /Full Text
13ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในกลุ่มประเทศอาเซียน = Determinants of exchange rate volatility in ASean Countries / ชุติมา บัณฑิตอมร / 2552 /Full Text
14ปัญหาการรับพม่าเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน / กาญจนา กันจินะ / 2543 /Full Text
15ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงที่มีต่อดุลการค้าระหว่างกลุ่มอาเซียนกับประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน โดยวิธีเออาร์ดีแอล = Effects of real exchange rate on trade balance between ASEAN-the U.S. and ASEAN-people's republic of China using ARDL Method / ปาณะฑา สุวรรณกุลไพศาล / 2553 /Full Text
16ผลกระทบจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน = Impacts of foreign direct investment on economic growth of ASEAN countries / ศนิธิ รัตนสุรังค์ / 2551 /Full Text
17วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยวิธีแพนเนิลโคอินทิเกรชัน = Analysis of the relationship between foreign exchange rates and stock market indices in ASEAN Countries using panel c / สุทธิพงษ์ สุวรรณศรี / 2554 /Full Text


หมายเหตุ

ถ้างานวิจัยเปิดไม่ได้ แสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านไม่มีโปรแกรม Adobe Acrobat Reader ค่ะ





วิธีการโหลดและการติดตั้งโปรแกรม Adobe Acrobat Reader




รูปแบบการสอนภาษาอังกฤษ


รูปแบบการสอนภาษาอังกฤษ

    





        ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษได้มีวิวัฒนาการ และมีทฤษฎีการสอนหลากหลายวิธี ที่ครูจะเลือกแนวทางที่เหมาะสมนำไป ดัดแปลงใช้สอนนักเรียนแต่ละคน ดังวิธีสอนต่อไปนี้


 1. วิธีการสอนไวยากรณ์และการแปล (Grammar Translation )

เป็นวิธีการสอนที่ เน้นกฎไวยากรณ์และใช้การแปลเป็นสื่อให้นักเรียนเข้าใจบทเรียน 
ลักษณะเด่น

1.1 ครูจะบอกและอธิบายกฎเกณฑ์ตลอดจนข้อยกเว้นต่างๆ
1.2 ในด้านคำศัพท์ ครูจะสอนครั้งละหลายคำ บอกคำแปลภาษาไทย บางครั้งเขียนคำอ่านไว้ด้วย 
1.3 ครูเน้นทักษะการอ่าน และการเขียน
1.4 ครูเน้นวัดผลด้านความรู้ ความจำ คำศัพท์ กฎเกณฑ์ ความสามารถในการแปล
1.5 ครูมีบทบาทสำคัญมากที่สุด
1.6 นักเรียนเป็นผู้รับฟัง และจดสิ่งที่ครูบอกลงในสมุด
1.7 นักเรียนจะต้องท่องจำกฎเกณฑ์ตลอดจนชื่อเฉพาะต่างๆ ทางไวยากรณ์ 
1.8 นักเรียนทำแบบฝึกหัดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ไวยากรณ์นั้นๆ
1.9 นักเรียนไม่ได้ฝึกนำคำศัพท์มาใช้ในรูปประโยค       


2. วิธีสอนแบบตรง

เป็นวิธีการสอนที่เน้นทักษะการฟัง และพูดให้เกิดความเข้าใจก่อน แล้วจึงฝึกทักษะการอ่านและการเขียนโดยมีความเชื่อว่า เมื่อนักเรียนสามารถฟังและพูดได้แล้ว ก็สามารถอ่านและเขียนได้ง่าย และเร็วขึ้น ไม่เน้นไวยากรณ์กฎเกณฑ์มากนัก บทเรียนส่วนใหญ่เป็นกิจกรรสนทนา นักเรียนได้ใช้ภาษาเต็มที่
ลักษณะเด่น
2.1 ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนพูดโต้ตอบ 
2.2 ครูสร้างสภาพแวดล้อมหรือใช้สื่อที่เอื้อต่อการการเรียนการสอน
2.3 อธิบายคำศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ และใช้ตัวอย่างประกอบเป็นของจริง
2.4 การวัดผลเน้นทักษะการฟัง และพูด เช่นการเขียนตามคำบอก การปฏิบัติตามคำสั่ง
  

3. วิธีสอนแบบฟัง-พูด (Audio – Lingual Method)

เป็นวิธีการสอนตามหลัก ภาษาศาสตร์ และวิธีสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน สอนครบองค์ประกอบลำดับจากง่ายไปหายาก 
ลักษณะเด่น

3.1 ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาที่เรียนให้แก่ผู้เรียนในการเลียนแบบ
3.2 ครูจะจัดนำคำศัพท์และประโยคมาสร้างเป็นรูปประโยคให้นักเรียนพูดตามซ้ำๆ กัน ในรูปแบบต่างกัน 
3.3 ครูมุ่งเรื่องการฝึกรูปประโยคทางภาษาในห้องเรียนมากกว่าประโยชน์การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
3.4 นักเรียนจะต้องฝึกภาษาที่เรียนซ้ำๆ
3.5 นักเรียนเป็นผู้ลอกเลียนแบบ และปฏิบัติตามครูจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากจนเกิดเป็นนิสัยสามารถพูดได้อย่างอัตโนมัติ 


4. วิธีการสอนตามทฤษฏีการเรียนแบบความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Code Learning theory)

วิธีการสอนแบบนี้ยึดแนวคิดที่ว่าภาษาเป็นระบบที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ความเข้าใจ และการแสดงออก ทางภาษาขึ้นอยู่กับความเข้าใจ กฎเกณฑ์ เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจรูปแบบของภาษาและความหมายแล้ว ก็จะสามารถใช้ภาษาได้ 
ลักษณะเด่น

4.1 ครูมุ่งฝึกทักษะทุกด้านตั้งแต่เริ่มสอน โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฟังและพูดให้ดีก่อน แล้วจึงอ่านและเขียน ตามวิธีสอนแบบฟัง-พูด (Audio – Lingual Method) 
4.2 ครูสอนเนื้อหาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการที่แตกต่างของนักเรียน ที่มีความสามารถในทักษะฟังพูดอ่านเขียนที่แตกต่างกัน
4.3 สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ความคิด สติปัญญา และมีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ 
4.4 ใช้ภาษาไทยในการช่วยอธิบาย แต่อธิบายในเรื่องการฟังและพูด
4.5 การวัดและประเมินผลในด้านภาษาของนักเรียนนั้น คือ ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาแต่ ละขั้นตอน


5. วิธีสอนตามเอกัตภาพ (Individualized Instruction)

จากวิวัฒนาการสอน ภาษาอังกฤษ จะเห็นว่า ผู้เรียนเริ่มมีบทบาทจากการเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียวมาเป็นผู้ที่มีส่วนร่วม ในการเรียนการสอนมากขึ้นเป็นลำดับ 
ลักษณะเด่น

5.1 การสอนเปลี่ยนจากครูเป็นหลัก เป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
5.2 ครูพยายามให้นักเรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคลให้ได้มากที่สุด5.3 ครูเตรียมสื่อการเรียนการสอนไว้ให้ 
5.4 ครูจะเตรียม สื่อ เอกสาร บทเรียนโปรแกรม ชุดการเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน 
       และแนวคำตอบไว้ให้ ให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง

6. วิธีสอนแบบการตอบสนองด้วยท่าทาง (Total Physical Response Method)

แนวการสอนแบบนี้ ให้ความสำคัญต่อการฟังเพื่อความเข้าใจ เมื่อผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่ฟังอยู่และสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะช่วยให้จำได้ดี 
ลักษณะเด่น

6.1 ในระยะแรกของการเรียนการสอน ผู้เรียนไม่ต้องพูด แต่เป็นเพียงผู้ฟังและทำตามครู
6.2 ครูเป็นผู้กำกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งหมด ครูจะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง เมื่อถึงระยะเวลาที่สมควรพูดแล้วเรียนอ่านและเขียนต่อไป 

  
6.3 ภาษาที่นำมาใช้ในการสอนเน้นที่ภาษาพูด เรียนเรื่องโครงสร้างทางไวยากรณ์ และคำศัพท์มากกว่าด้านอื่นๆ โดยอิงอยู่กับประโยคคำสั่ง 
6.4 นักเรียนจะเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจนจากการแสดงท่าทางของครู
6.5 ครูทราบได้ทันทีว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่ จากการสังเกตการปฏิบัติตามคำสั่งของนักเรียนเมื่อครูสั่ง
6.6 ครูต้องทำพร้อมกับนักเรียนในระยะแรก
6.7 ต้องสั่งจากง่ายไปหายาก



7. วิธีการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method)

เป็นวิธีการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม รวมพลังความคิดเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหา หาข้อเท็จจริง
ลักษณะเด่น

7.1 ฝึกให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็นกล้าพูด อย่างมีเหตุผล ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย และอดทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
7.2 ครูสร้างสถานการณ์ใหนักเรียนทำงานว่า สมมุตินักเรียนจะเข้าค่ายพักแรมเป็นเวลา 5 วันนักเรียนจะต้องเตรียมเครื่องใช้อะไรไปบ้างช่วยกันอภิปราย และสรุปผลออกมาเป็นรายงานส่งครู เป็นต้น

8. วิธีการสอนแบบโครงการ (Project Method)

เป็นวิธีที่สอนให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ใดกิจกรรมหนึ่งที่ผู้เรียนสนใจ หรือตามที่ครูมอบหมายให้ทำ 
ลักษณะเด่น

8.1 นักเรียนจะดำเนินการอย่างอิสระ
8.2 ครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะช่วยเหลือและติดตามผลงานของนักเรียนว่าการดำเนินการ ความก้าวหน้า
       อุปสรรคการประเมินผลงานใดบ้าง
8.3 นักเรียนจะมีอิสระในการใช้ภาษาได้อย่างเต็มที่ 



9. วิธีสอนภาษาแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning)

วิธีการ สอนแบบนี้มีแนวคิดที่ต่างไปจากแนวคิดอื่น 
ลักษณะเด่น

9.1 ยึดผู้เรียนเป็นหลัก
9.2 เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกัน ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
9.3 นักเรียนแต่ละคนร่วมกิจกรรม 
9.4 ครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษาเท่านั้น ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
9.5 เน้นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สิ่งที่นำมาเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การฝึกให้ผู้เรียนใช้โครงสร้างประโยค คำศัพท์และเสียง ตามวิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ 
9.6 การประเมินผลการเรียนนั้นจะเป็นการทดสอบแบบบูรณาการโดยให้นักเรียนประเมินตนเอง  ดูจากการเรียนรู้ของตนเอง และความก้าวหน้าของตน 
9.7 ถ้านักเรียนมีที่ผิด ครูจะพยายามแก้ไข โดยไม่ใช้วิธีคุกคาม โดยให้ฝึกทำซ้ำๆ กัน


10. วิธีสอนตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative Approach)

จากข้อเท็จจริงพบว่า ถึงแม้นักเรียน จะเรียนรู้โครงสร้างของภาษามาแล้วเป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้หรือสื่อสารได้ดีนัก ด้วยเหตุผลนี้นักภาษาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ได้เสนอแนวการสอนแบบใหม่ คือ การสอนเพื่อการสื่อสาร โดยมีความเชื่อว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบไวยากรณ์ที่ประกอบด้วยเสียง ศัพท์ และโครงสร้างเท่านั้น แต่ภาษาคือ ระบบที่ใช้ในการสื่อสาร ดังนั้นการสอน จึงควรให้นักเรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้  และจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมตามสภาพสังคมด้วย

11. โปรแกรม CIRC (Cooperative Intergrated Reading and Composition)

CIRC คือ โปรแกรมสำหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) ใช้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน้นที่หลักสูตรและวิธีการสอน โดยการพยายามนำการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้ โปรแกรม CIRC พัฒนาขึ้นโดย Madden, Slavin และ Stevens ในปี 1986 นับว่าเป็นโปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของวิธีการเรียนรู้เป็นทีม ซึ่งเป็นโปรแกรมการเรียนแบบร่วมมือที่น่าสนใจยิ่ง เนื่องจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นำการเรียนแบบร่วมมือมาใช้กับการอ่านและการเขียนโดยตรง 
CIRC-Reading สำหรับการอ่าน นักเรียนจะได้รับการสอนภายในกลุ่มการอ่าน หลังจากนั้นให้นักเรียนแยกออกเป็นทีม เพื่อทำงานตามกิจกรรมแบบร่วมมือ โดยการจับคู่กันอ่าน การทำนายเรื่องที่อ่าน การสรุปเรื่องให้อีกคนหนึ่งฟัง การเขียนตอบคำถามจากเรื่อง การฝึกสะกดคำศัพท์ การถอดรหัสและฝึกเรื่องคำศัพท์ นักเรียนทำงานร่วมกันในทีมเพื่อให้นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ และได้ทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในการอ่าน 
CIRC-Writing/Language Arts สำหรับการเขียน วิธีการที่ใช้ขึ้นอยู่กับรูปแบบกระบวนการเขียน ซึ่งใช้รูปแบบทีมเหมือนกับโปรแกรม CIRC สำหรับการอ่าน วิธีการนี้นักเรียนทำงานร่วมกันเพื่อวางแผน (plan) ร่างต้นฉบับ (draft) ทบทวนแก้ไข (revise) รวบรวมและลำดับเรื่อง (edit) และพิมพ์หรือแสดงผลงาน (publish) เรื่องที่แต่งออกมา โดยครูเป็นผู้เสนอเนื้อหาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวทาง (style) เนื้อหา และกลวิธีของการเขียน 
CIRC สำหรับการอ่านและการเขียนนั้น โดยปกติแล้วจะใช้ควบคู่ไปด้วยกัน แต่กระนั้นก็สามารถใช้โปรแกรมนี้แยกในการสอนอ่าน หรือสอนการเขียนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ 
โปรแกรมการเรียนแบบร่วมมือ มีลักษณะกิจกรรมโดยรวมดังนี้คือ 
1. การสอนเริ่มต้นจากครู (Teacher Instruction) 
2. การฝึกปฏิบัติภายในทีม (Team Practice) นักเรียนทำงานในกลุ่มซึ่งมีสมาชิก 4-5 คนโดยมีความสามารถแตกต่างกัน เรียนรู้กันจากที่ครูได้มอบหมายให้โดยการใช้ Worksheet หรืออุปกรณ์การฝึกอื่นๆ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนจะได้ประเมินเพื่อนสมาชิกในกลุ่มซึ่งกันและกัน 
3. นักเรียนได้ประเมินการเรียนรู้ของตนเอง (Individual Assessment) ในเรื่องของข้อความรู้หรือทักษะที่เขาได้รับในบทเรียน 
4. คะแนนจากการประเมินนักเรียนแต่ละคน จะรวมเป็นคะแนนของทีม (Team Recognition) ทีมใดที่ได้คะแนนถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะได้รับใบประกาศนียบัตรหรือรางวัลอื่นๆ 
การจัดกลุ่มนักเรียน 
นักเรียนจะทำงานตามกิจกรรมที่กำหนด ภายในกลุ่มการเรียนรู้ที่มีนักเรียนซึ่งมีความสามารถแตกต่างกันในกลุ่มการอ่าน (Reading Groups) นั้น นักเรียนจะถูกกำหนดให้อยู่ในกลุ่ม การอ่าน จำนวน 2-3 กลุ่ม ขึ้นอยู่กับระดับการอ่านของเขา โดยครูเป็นผู้กำหนดให้ว่า นักเรียน คนใดจัดว่าอยู่ในกลุ่มเก่ง ปานกลาง หรืออ่อน

ตัวอย่างงานวิจัย

 http://www.library.msu.ac.th/web/dublin.linkout.php?url=http://khoon.msu.ac.th/full11/sudsiri961/titlepage.pdf





      


12.การจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT

การจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT มีพื้นฐานความคิดมาจากเรื่องสไตล์การเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Style) และการทำงานของสมอง สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับสไตล์ การเรียนรู้ของผู้เรียนนั้นเสนอโดยแมค คาธี (Mc Carthy) ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของ เดวิด คอล์บ David Kolb ซึ่งอธิบายว่าสไตล์การเรียนรู้เกิดจากมิติ 2 มิติ คือ 
1. การเรียนรู้ (Perception) 
2. การจัดการข้อมูล (Processing) 
1. การรับรู้ (Perception) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ 
1.1 การรับรู้ผ่านประสบการณ์รูปธรรม (Concrete Experience) 
1.2 การรับรู้ผ่านการสร้างมโนทัศน์ที่เป็นนามธรรม (Abstract Conceptualization) 
2. การจัดการข้อมูล (Processing) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ 
2.1 การสังเกตแล้วนำมาคิดไตร่ตรอง (Reflective Observation) 
2.2 การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง (Active Experiment) 
ลักษณะการเรียนของผู้เรียนแต่ละแบบ มีลักษณะที่ต่างกันดังนี้ 

ผู้เรียนแบบที่ 1 (Type 1) เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมผ่านการสังเกตแล้วคิดอย่างไตร่ตรองจัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดจินตนาการ (Imaginative Learner) เขาจะพยายามค้นหาความหมายในสิ่งที่เรียนรู้ มักชอบถามว่าทำไม (Why) 

ผู้เรียนแบบที่ 2 (Type 2) เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นนามธรรมผ่านการคิดอย่างไตร่ตรองจนเกิดเป็นมโนทัศน์จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดการวิเคราะห์ (Analytic Learner) มักชอบถามว่าอะไร (What) 

ผู้เรียนแบบที่ 3 (Type 3) เรียนรู้จากการรับรู้มโนทัศน์ แล้วนำมโนทัศน์มาผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนถนัดการใช้สามัญสำนึก (Common Sense Learner) มักชอบถามว่าอย่างไร (How) 

ผู้เรียนแบบที่ 4 (Type 4) เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจนเกิดประสบการณ์ซึ่งตนเองยอมรับได้ จัดเป็นผู้เรียนที่เรียกว่า ผู้เรียนยอมรับการเปลี่ยนแปลง (Dynamic Learner) มักชอบถามว่า ถ้า…แล้ว (If…then…) 

การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้

การจัดการเรียนการสอนแบบ 4 MAT จัดเป็นนวัตกรรมการออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้ ที่สอดคล้องกับแนวคิดในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข 
แมค คาธี ได้นำผลการสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน และผลการศึกษาด้านการพัฒนาสมอง 2 ซีก มาพัฒนาเป็นแนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ เหมาะสมกับผู้เรียนทุกลักษณะผสมผสานกัน กระบวนการจัดการเรียนรู้ได้แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนแบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ 2 ขั้นตอน จึงทำให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายและยืดหยุ่น ตอบสนองการพัฒนาศักยภาพทุกด้านของผู้เรียนที่มีรูปแบบหรือลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกัน ดังนี้ 

ขั้นตอนที่ 1 การนำเสนอประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้เรียน ขั้นตอนนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรื่องที่เรียน ค้นพบเหตุผลของตนเองว่าทำไมต้องเรียนเรื่องนั้น แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ 
1.1 การเสริมสร้างประสบการณ์ ขั้นนี้ผู้เรียนจะได้มีปฏิสัมพันธ์หรือใช้จินตนาการของตนใน สิ่งที่กำลังเรียน (เน้นการพัฒนาสมองซีกขวา) 
1.2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้รับ เป็นขั้นที่หาเหตุผลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้รับใน ขั้น 1.1 ด้วยการคิด วิเคราะห์ (เน้นการพัฒนาสมองซีกซ้าย) 

ขั้นตอนที่ 2 การเสนอเนื้อหา สาระ ข้อมูลแก่ผู้เรียน ขั้นนี้เป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้จาก ขั้น 1.2 มาสู่การสร้างมโนทัศน์เพื่อตอบคำถามให้ได้ว่าสิ่งที่เรียนนั้นคืออะไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ 
2.1 การบูรณาการประสบการณ์เพื่อสร้างมโนทัศน์ (Concept) ขั้นนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถ เชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ของตนกับสิ่งที่เรียน เพื่อให้เกิดความ เข้าใจ (เน้นการพัฒนาสมองซีกขวา) 
2.2 การพัฒนาเป็นมโนทัศน์ เป็นขั้นตอนของการทำให้ผู้เรียนเข้าใจในสิ่งที่เรียน จนสร้างเป็นมโนทัศน์ได้ (เน้นการพัฒนาสมองซีกซ้าย) 

ขั้นตอนที่ 3 การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนามโนทัศน์ เป็นการพัฒนามโนทัศน์มาสู่การปฏิบัติจริง เป็นการหาคำตอบว่าจะทำได้อย่างไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ 
3.1 การปฏิบัติงานตามขั้นตอน ขั้นนี้ผู้เรียนจะได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ (เน้นการพัฒนาสมองซีกซ้าย) 
3.2 การนำเสนอผลการปฏิบัติงาน ขั้นนี้เป็นการบูรณาการและสร้างสรรค์ของผู้เรียน ที่จะแสดงถึงความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนในรูปแบบต่างๆ ตามความถนัดหรือความ สนใจของตน (เน้นการพัฒนาสมองซีกขวา) 

ขั้นตอนที่ 4 การนำความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ เกิดจากการลงมือทำด้วยตนเอง เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะนำไปใช้ในชีวิตจริงแล้วเป็นอย่างไร แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนย่อย คือ 
4.1 การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้หรือการพัฒนางาน ในขั้นนี้ผู้เรียนจะได้มีโอกาสเลือกและลงมือกระทำงานของตนเองทุกขั้นตอน จนสำเร็จเป็นผลงาน (เน้นการพัฒนาสมองซีกซ้าย) 
4.2 การนำเสนอผลงานหรือการเผยแพร่ เป็นขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของตนในรูปแบบต่าง ๆ (เน้นการพัฒนาสมองซีกขวา) 

คำอธิบายเกี่ยวกับความสามารถในการทำงานของสมอง 
1. ความสามารถของสมองซีกขวา คือ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การใช้สามัญสำนึก การคิดแบบหลากหลาย การคิดแบบองค์รวม การคิดจินตนาการ ฯลฯ 
2. ความสามารถของสมองซีกซ้าย คือ การคิดวิเคราะห์ การคิดหาเหตุผล การคิดแบบปรนัย การคิดแบบมีทิศทาง ฯลฯ 


13. การจัดการเรียนการสอนแบบStory line

วิธีสอนแบบสตอรีไลน์ เป็นวิธีที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จะมีการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า กำหนดเส้นทางเดินเรื่อง โดยใช้คำถามหลักเป็นตัวนำ สู่การให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนตามสภาพจริง ที่มีการบูรณาการระหว่างวิชา เพื่อเป้าหมายพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งตัว 

ลักษณะเด่นของวิธีสอน

1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ 
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้ 
1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด 
2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน 
3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้ 
4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน 
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning) 
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) 
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้ 
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้ 
1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ 
2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์ 
3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา 
4) ปัญหาที่รอการแก้ไข 

บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์

บทบาทของครู

1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่

1)กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ 
2)เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ 
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น

1)เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน 
2)เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้เรียน 
3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง 
4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน 
5) เป็นผู้แนะนำ (Director) 
6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข 
7)เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน 
8)เป็นผู้ประเมิน (Evaluator) ควรมีการประเมินผลเป็นระยะๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน 

3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented) 
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary) 
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้ 
6.เป็นผู้ริเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น 

บทบาทของผู้เรียน 

1.เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ 
2.ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา 
3.มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง 
4.เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Reality) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม 
5.ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือประสบการณ์ในชีวิตจริง 
6.มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว ในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณา ทำตามคำแนะนำของครูได้อย่างดี 
7.ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติที่ดีต่อกัน 
8.มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่นๆ และกับครู 
9.เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหา คิดริเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ 
10.เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสตอรีไลน์

1.เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวนความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน 
2.ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียน (Participate) ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม เป็นการพัฒนาทั้งตัว 
3.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และเป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน 
4.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีการเบื่อหน่าย 
5.ผู้เรียนจะได้สร้างจินตนาการตามเรื่องที่กำหนด เป็นการเรียนรู้ด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง วิถีชีวิต ผสมผสานกันไป อันเป็นสภาพจริงของชีวิต 
6.ผู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดระดับสูง คิดไตร่ตรอง คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด แก้ปัญหา คิดริเริ่ม คิดสร้างสรรค์ 
7.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 2 คน 4 คน 6 คน รวมทั้งเพื่อนทั้งห้องเรียน ขึ้นอยู่กับลักษณะกิจกรรม เป็นการพัฒนาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ 
8.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวสู่สิ่งไกลตัว เช่น เรียนตัวของเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ชุมชนของเรา ประเทศของเรา และประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน 
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง 



 14. การสอนโดยใช้ B-SLIM Model

 การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร โดยใช้ B-SLIM Model หมายถึง การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนภาษาที่สองตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching – CLT) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเขียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 ขั้น ดังนี้ 

1.1 ขั้นวางแผนและเตรียม (Planning and Preparation) หมายถึง ขั้นที่ครูเลือกกิจกรรมและเนื้อหาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและความสนใจของผู้เรียน รวมทั้งการจัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร 

1.2 ขั้นทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้สอนป้อน (Comprehensible Input) หมายถึง ขั้นที่ครูอธิบายความรู้ ข้อมูลหรือตัวป้อนใหม่ เรียกว่า Input โดยตั้งอยู่บนฐานความรู้เดิมของผู้เรียนครูสามารถทำให้ตัวป้อนเหล่านี้ง่ายในการที่ผู้เรียนจะเข้าใจเกิดการเรียนรู้ โดยการขยายความอธิบายเพิ่มเติม พูดช้า ๆ ซ้ำ ๆ ชัดเจน ใช้รูปภาพ สาธิต และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถามข้อสงสัย 
ตัวป้อนมี 9 ชนิด ดังนี้ 

1.2.1 การรับรู้ภาษา (Language Awareness) 

1.2.2 การออกเสียง (Pronunciation) 

1.2.3 ศัพท์ (Vocabulary) 

1.2.4 ไวยากรณ์ (Grammar) 

1.2.5 สถานการณ์และความคล่องแคล่ว (Situation and Fluency) 

1.2.6 วัฒนธรรม (Culture) 

1.2.7 กลวิธีการเรียนรู้ (Learning Strategy) 

1.2.8 ทัศนคติ (Attitude) 

1.2.9 ทักษะ (Skill) 

1.3 ขั้นกิจกรรมเพื่อความเข้าใจและฝึก (Intake Activity) หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้เรียนเรียนรู้ เนื้อหาหรือตัวป้อน (Input) ผู้สอนพึงระลึกเสมอว่า ผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจข้อมูล ข่าวสารหรือตัวป้อนในขั้นแรก ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสทำสองประการ คือ 

1.3.1 ประการแรก ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตัวป้อนเรียกว่ากิจกรรมเพื่อความเข้าใจ (Intake-Getting-It) 

1.3.2 ประการที่สอง หลังจากที่ผู้เรียนเข้าใจ Input แล้ว ผู้สอนออกแบบกิจกรรมที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกเรียกว่า กิจกรรมขั้นใช้ภาษา(Intake-Using-IT) 

1.4 ขั้นผล (Output) หมายถึง ขั้นส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษานอกห้องเรียนทั้งทักษะฟัง พูด อ่านและเขียน ลักษณะกิจกรรมในขั้นนี้เป็นกิจกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ประกอบกับความสามารถทางภาษา โดยส่วนมากจะเป็นกิจกรรมเดี่ยว (Individual Activity) 

1.5 ขั้นประเมินผล (Evaluation) หมายถึง ขั้นที่ครูรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ จากการสังเกตหรือการซักถามผู้เรียนในชั้นต่าง ๆ เพื่อต้องการทราบปัญหาต่าง ๆ และแก้ปัญหาในการสอนครั้งต่อไป เป็นการประเมินการสอนของครูเอง ส่วนการประเมินการเรียนของผู้เรียนครูใช้การประเมินพฤติกรรมการเรียน ใบงาน การทดสอบย่อย และการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 

 15. วิธีการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ

ความหมาย

                วิธีการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ  หมายถึง  วิธีสอนที่ผู้สอนสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมุติขึ้นจากความเป็นจริง มาให้ผู้เรียนได้แสดงออกตามที่ผู้เรียนคิดว่าจะเป็น ผู้สอจะใช้การแสดงออกทั้งทางด้านความรู้ ความคิด และพฤติกรรมของผู้แสดงมาเป็นพื้นฐานในการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ผู้เรียน อันจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาสาระของบทเรียนอย่างลึกซึ้ง และรู้จักปรับหรือเปลี่ยนพฤติกรรม และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม

ความมุ่งหมาย

1.        เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในพฤติกรรมและความรู้สึกของผู้อื่น

2.        เพื่อให้ผู้เรียนได้ปรับหรือเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสม

3.        เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ความรู้ความคิดในการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ

4.        เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงออก ได้เรียนด้วยความเพลิดเพลิน

5.        เพื่อให้การเรียนการสอนมีความใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้น

ลักษณะของบทบาทสมมุติ

บทบาทสมมุติที่ผู้เรียนแสดงออกแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ                                             

                1. การแสดงบทบาทสมมุติแบบละคร  เป็นการแสดงบทบาทตามเรื่องราวที่มีอยู่แล้วผู้แสดงจะได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด  แต่จะไม่ได้รับบทที่กำหนดให้แสดงตามอย่างละเอียดผู้แสดงจะต้องแสดงออกตามความคิดของตน และดำเนินเรื่องไปตามท้องเรื่องที่กำหนดไว้แล้วซึ่งมีลักษณะเหมือนละคร

                2. การแสดงบทบาทสมมุติแบบแก้ปัญหา เป็นการแสดงบทบาทสมมุติที่ผู้เรียนได้รับทราบสถานการณ์หรือเรื่องราวแต่เพียงเล็กน้อยเท่าที่จำเป็น  ซึ่งมักเป็นสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีความขัดแย้งแฝงอยู่ ผู้แสดงบทบาทจะใช้ความคิดของตนในการแสดงออกและแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเสรี

               

ขั้นตอนวิธีการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ สรุปได้ดังนี้

ขั้นเตรียมการสอน
-  เตรียมจุดประสงค์

-  เตรียมสถานการณ์สมมุติ


2.       ขั้นตอนการดำเนินงาน

- ขั้นนำเข้าสู่การแสดง

-  เลือกผู้แสดง

-  เตรียมความพร้อมผู้แสดง

- จัดฉากการแสดง

- เตรียมผู้สังเกตการณ์

-  การแสดง

-  การตัดบท

3. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผลการแสดง

                - ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น


4. ขั้นแสดงเพิ่มเติม

-  ผู้เรียนเสนอแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหา

5. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป

                - ผู้เรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์

   และสรุปร่วมกันกับผู้สอน

ขั้นตอนการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ

                การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ  มี 5 ขั้นตอน  ในแต่ละขั้นตอนมีวิธีการสอน   ดังนี้

1.        ขั้นเตรียมการสอน เป็นการเตรียมใน 2 หัวข้อใหญ่ ได้แก่

1.1 เตรียมจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมุติให้แน่ชัดและเฉพาะเจาะจงว่าต้องการ

ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรบ้างจาการแสดง

                       1.2 เตรียมสถานการณ์สมมุติ  เพื่อเล่าให้ผู้เรียนฟังโดยให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ การเตรียมสถานการณ์และบทบาทสมมุตินี้อาจเตรียมเขียนไว้อย่างละเอียดเพื่อมอบให้แก่ผู้เรียนหรือเตรียมเฉพาะสถานการณ์เพื่อเล่าให้ผู้เรียนฟัง ส่วนรายละเอียดผู้เรียนต้องคิดเอง

                การเตรียมสถานการณ์แลกะบทบาทสมมุตินี้ ควรให้มีความชัดเจน มีความยากง่ายให้เหมาะสมกับระดับผู้เรียน มีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และควรให้มีความขัดแย้งหรือปัญหาที่จะต้องแก้ไข เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกคิดและแก้ปัญหา

2.        ขั้นดำเนินการสอน จัดแบ่งย่อยได้ 7 ขั้นตอน ดังนี้

1.1     ขั้นนำเข้าสู่การแสดงบทบาทสมมุติ เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ

และกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรม  โยผู้สอนอาจใช้วิธีโยงประสบการณ์ใกล้ตัวผู้เรียน เล่าเรื่องราว  หรือสถานการณ์สมมุติ ชี้แจงประโยชน์ของการแสดงบทบาทสมมุติ และการร่วมกันช่วยกันแก้ปัญหา

                       2.2  เลือกผู้แสดง  เมื่อผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมแล้วผู้สอนจะจัดตัวผู้แสดงในบทบาทต่าง ๆ ในการเลือกผู้แสดงนั้นอาจใช้วิธีดังนี้

                                1) เลือกอย่างเจาะจง เช่นเลือกผู้ที่มีปัญหาออกมาแสดง เขาได้รู้สึกในปัญหาและเห็นวิธีแก้ปัญหา


ที่มา : https://sites.google.com/site/prapasara/h1